ป่ะไปภูกระดึงกันเถอะ
ลมหนาวพัดมา พร้อมกับฤดูกาล เปิดภูกระดึง ทุกต้นเดือนตุลาคมของทุกปี ใครที่กำลังวางแผนอยากไป เที่ยวแบบได้ฟีลแอดเวนเจอร์เบาๆ แล้วล่ะก็ เราชวนให้แกณฑ์เพื่อนมาทั้งแกงค์ คัดคนใจๆ พาไปพิชิต ภูกระดึง กันค่ะ รับรองว่า จะเป็นทริปครั้งหนึ่งของชีวิตที่อยู่ในความทรงจำอย่างยาวนานแน่นอน
ที่เที่ยวธรรมชาติ จังหวัดเลย
DAY 1
พิชิต ภูกระดึง ไปให้ถึง หลังแป
การเดินทางไปภูกระดึง
ทริปนี้ของเราเป็นในช่วงต้นเดือนธันวาคม อากาศกำลังหนาวได้ที่ ใครที่เดินทางด้วยนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนค่ำๆ จะมาถึงจังหวัดเลยในช่วงเช้ามืดพอดิบพอดีค่ะ ซึ่ง รถทัวร์กรุงเทพฯ-ภูกระดึง จะจอดให้ลงตรง ผานกเค้า ตรงจุดนี้จะมีร้านค้าให้ได้นั่งจิบกาแฟ โอวันตินอุ่นๆ เพื่อรอเวลาประมาณตีห้าครึ่ง ที่รถสองแถวจะวิ่ง และพาเราไปต่อที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค่ะ
แต่สำหรับทริปนี้ เราค่อยๆ ขับรถกลับมาจากกรุงเทพฯ พอมาถึงจังหวัดเลยก็เรียกได้ว่าเช้ามืด เลยจอดรถในปั้มน้ำมัน นอนพักเอาแรงสักหน่อย พอตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัง หาอะไรกินให้มีพลัง แล้วก็มา
ไปที่ อุทยานฯ กันเลยค่ะ
ความดีก็คือ เราได้จองเต็นท์มาแล้วจากระบบออนไลน์ ทำให้อะไรก็สะดวกมากๆ หลังจากไปติดต่อเรื่องการจองเต็นท์กับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าของเรา และน้ำดื่มนิดหน่อยไปมีจุดชั่งน้ำหนักค่ะ เพราะคาดว่า เราคงไม่สามารถแบกกระเป๋าขึ้นไปบนภูกระดึงพร้อมเดินเท้าไปด้วยได้แน่ งานนี้ต้องขอพึ่งคุณพี่ลูกหาบแล้วกันนะ
จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางขึนภูกระดึงแล้วค่ะ! สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำขวดเล็กๆ สำหรับจิบระหว่างทาง แสงแดดเริ่มส่องลอดใบไม้ลงมา อากาศเริ่มเย็นน้อยลง เราก็ถอดเสื้อกันหนาว แล้วเดินได้ปกติ
ทางที่ผ่านไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นทางดิน ทีมีทั้งทางเดินเรียบๆ บ้าง ทางชันบ้าง บันไดบ้าง สลับกันไป ระหว่างทางที่กำลังรู้สึกว่า โอ้ยยยย ไม่ไหวแล้วววว! ก็เจอคุณยาย คุณตา ที่เดินขึ้นภูกระดึงด้วยกันอย่างไม่รีบร้อน ก็ทำให้ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง จนในที่สุด ความพยายามแรกก็ประสบความสำเร็จ ตอนนี้มาอยู่ที่ ซำแฮ่ก แล้วจ้า!
ซำแฮ่ก ซำแรกที่โหดสุดๆ
ซำแฮ่ก นั้นจะเป็นจุดแรกที่มีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินขึ้น-ลง ภูกระดึง มีห้องน้ำไว้บริการด้วยค่ะ เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยทีเดียว ฮ่าๆ
บอกเลยว่า ราคาข้าว และน้ำตรงนี้ จะค่อนข้างสูงกว่าที่ด้านล่างนิดหน่อย แต่เราก็เต็มใจจ่าย เพราะการเดินขึ้นมาที่นี่พร้อมของที่ต้องเอามาทำข้าวแต่ละจาน น้ำแต่ละแก้ว ก็ไม่ใช่ง่าย นี่ก็ได้น้ำแดงมะนาวโซดาช่วยชีวิตเลยทีเดียว...เติมพลังกันเต็มที่แล้วก็ไปต่อ!
เราเดินต่อไปอีกหลายซำ ต่อหลายซำ ผ่านทั้ง ซำบอน ซำกกกอก จนไปถึงหลังแปได้ในที่สุด ใช้เวลาเกือบๆ 7 ชั่วโมงในการเดินขึ้นภูกระดึงในครั้งนี้ เพราะก็มีเถลไถลบ้าง นั่งพักบ้าง ถ่ายรูปเล่นบ้าง แถมยังมีเพื่อนเป็นตะคริวอีกด้วยค่ะ บอกลเยว่าสิ่งที่จำเป็นมากๆ ในการมาภูกระดึงก็คือ การจิบน้ำเรื่อยๆ โดยเฉพาะน้ำเกลือแร่ เพราะร่างกายเสียเหงื่อไปมาก ระหว่างเดินถ้าเป็นตะคริวขึ้นมาก็พังเหมือนกันจ้าาาา
ระหว่างทาง เราก็ชมธรรมชาติไปด้วยเพลินๆ พักเป็นระยะ เพราะสงสารเพื่อนที่เป็นตะคริวค่ะ ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบ เลยทำให้เป็นอะไรที่รู้สึกได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ ค่ะ แถมอากาศก็ดีอีกด้วย ถึงจะดูมีแดดแรง แต่ลมหนาวก็ไม่ปล่อยให้ร้อนขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
ชมพระอาทิตย์ตก ที่ ผาหมากดูก
แกงค์เราและเพื่อนหลังจากพิชิตภูกระดึงได้แล้ว ก็มุ่งหน้าไปต่อที่ จุดบริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ ค่ะ หลัจากไปรับถุงนอน ผ้าห่ม หมอน เรียบร้อย ก็ไปพิกัดเต็นท์ของเรา เก็บของเสร็จสรรพ ก็ขอไปเที่ยวจุดแรกกันเลยที่ ผาหมากดูก เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่อยู่ใกล้ๆ ลานกางเต็นท์
ผ่านไป 1 วันอย่างไว แสงอาทิตย์ค่อยๆ ลับไป แทนที่ด้วยพระจันทร์ และหมู่ดาว บอกเลยว่า ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนจะเอื้อมมือไปหยิบดาวลงมาได้เลยทีเดียว แถมอากาศในตอนกลางเย็นแบบนี้ ยังหนาวสุดขั้วจนหายใจออกมาเป็นไอเลยล่ะค่ะ
สำหรับใครที่เป็นกังวลเรื่องอาหารการกิน บอกเลยว่า สบายกว่าไปปีนเขาไหนๆ เพราะด้านบนยอดภูมีร้านอาหารไว้บริการเพียบ ตั้งแต่ข้าว โจ้ก ไปยันจิ้มจุ่ม หมูกระทะเลยค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น